สะเต็มศึกษา
คำว่า “สะเต็ม” หรือ “STEM” เป็นคำย่อจากภาษาอังกฤษของศาสตร์ 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์(Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) หมายถึงองค์ความรู้ วิชาการของศาสตร์ทั้งสี่ที่มีความเชื่อมโยงกันในโลกของความเป็นจริงที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ต่างๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกันในการดำเนินชีวิตและการทำงาน คำว่า STEM ถูกใช้ ครั้งแรกโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (the National Science Foundation: NSF) ซึ่งใช้คำนี้เพื่ออ้างถึงโครงการหรือโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ อย่างไรก็ตามสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้ให้นิยามที่ชัดเจนของคำว่า STEM มีผลให้มีการใช้และให้ความหมายของคำนี้แตกต่างกันไป (Hanover Research, 2011, p.5) เช่น มีการใช้คำว่า STEM ในการอ้างอิงถึงกลุ่มอาชีพที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มมีลักษณะ 5 ประการ
1. เป็นการสอนที่เน้นการบูรณาการ
2. ช่วยนักเรียนสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาวิชาทั้ง 4 กับชีวิตประจำวันและการทำอาชีพ
3. เน้นการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21
4. ท้าทายความคิดของนักเรียน
5. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น และความเข้าใจที่สอดคล้องกับเนื้อหาทั้ง 4 วิชา
STEM Education
ต่างๆ ในธรรมชาติ โดยอาศัยกระบวนการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry)
T - Technology เป็นวิชาที่ว่าด้วยกระบวนการทำงานที่มีการประยุกต์ศาสตร์สาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มาใช้ในการแก้ปัญหา ปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาสิ่งต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการ หรือความจำเป็นของมนุษย์
E - Engineering เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อมาอำนวยความสะดวกของมนุษย์ โดยอาศัยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และกระบวนการทางเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้สร้างสรรค์ชิ้นงานนั้นๆ
M - Mathematics เป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับการคำนวณ หรือ วิชาที่เกี่ยวกับการคำนวณ เป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาและต่อยอดทาง
มารู้จักกับศรลมกันเถอะ…..
ลมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของลมฟ้าอากาศ เมื่อลมมีการเปลี่ยนแปลงอัตราเร็ว หรือเปลี่ยนแปลงทิศทาง จะทำให้สภาพลมฟ้าอากาศมีการเปลี่ยนแปลงไป นักอุตุนิยมวิทยาจึงจำเป็นต้องมีการวัดอัตราเร็วและทิศทางของลม เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพยากรณ์อากาศ เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดอัตราเร็วลม เรียกว่า มาตรวัดลม (Anemometer) เครื่องมือตรวจทิศทางของลมเรียกว่า ศรลม (wind vane)
ในการออกแบบศรลมควรนำความรู้เกี่ยวกับการหาพื้นที่ของรูปเรขาคณิตต่าง ๆ มาใช้ ศรลมควรมีพื้นที่ บริเวณส่วนหางลูกศรมากกว่าบริเวณส่วนหัวลูกศร เนื่องจากเมื่อมีลมพัดผ่าน ลมจะปะทะกับหางลูกศรมากกว่าหัวลูกศรจึงทำให้ศรลมมีการหมุนจนกระทั่งศรลมลู่ขนานไปกับลม โดยหัวลูกศรชี้ไปในทศิทางที่ลมพัดมา ในการออกแบบศรลมควรพิจารณาถึงอัตราส่วนของพื้นที่บริเวณหัวและหาง การเลือกใช้วัสดุที่ทนต่อแรงลม หาได้ง่าย ในท้องถิ่น ต้นทุนต่ำและน้ำหนักที่เหมาะสมกับ
กรอบแนวคิด
S : วิทยาศาสตร์
- ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ
- การเลือกใช้วัสดุ
E : วิศวกรรมศาสตร์
- กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
(การสร้างศรลมที่บอกทิศทางได้แม่นยำ)
M : คณิตศาสตร์
- การหาพื้นที่รูปเรขาคณิตสองมิติ
โครงสร้างของระบบ
Input
วัถตุประสงค์ คือ ศรลมสามารถบอกทิศทางของลมได้ โดยหัวลูกศรชี้ทางลมพัดมาด้วย
สื่อ คือ ศรลม
กิจกรรม คือ สะเต็มศึกษา
Process
วิธีการเรียนการสอน คือ เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
วิธีการทดสอบ คือ ทดสอบศรลมกับพัดลม สามารถบอกทิศทางศรลมได้อย่างไร
Output
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามวัตถุประสงค์ คือ ศรลมสามารบอกทิศทางลมได้
Feedback
การนำผลลัพธ์มาพิจารณาและแก้ไขข้อบกพร่อง คือ ถ้าศรลมไม่สามารถบอกทิศทางได้ก็ต้องมีการ ปรับปรุงแก้ไข
หลักการมันเป็นอย่างไรหรอคะ?
ตอบลบอยากรู้อ่ะค่ะ อ่านเเล้วมันไม่เจอเลยช่วยบอกหน่อยเรื่องหลักการได้ไหมคะ? หรือว่ามีอยู่เเล้วอยู่ตรงไหนบอกด้วยนะคะ? อยากรู้อ่ะค่ะ
ตอบลบอยากรู้เหมือนกันเลยครับ ตอบด้วยนะครับ
ตอบลบใช่ค่ะ
ลบคุณได้คำตอบหรือยังครับ
ลบยังอ่ะค่ะ กำลังรอคำตอบอยู่เหมือนกันค่ะ
ลบอ่อ ครับ
ลบควย
ลบกูไม่เข้าใจ
ตอบลบงงตึ๊บ
ตอบลบ